วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รีวิว From Dusk Till Dawn (1996) : มหาโจร ปะทะ แวมไพร์ ในบาร์เหล้าของถิ่นคาวบอย ความคัลท์ที่คุณไม่ควรพลาด

สองโจรคู่พี่น้อง หลวงพ่อ แวมไพร์เด็กแว๊นซ์ และสิงห์รถบรรทุก เมื่อทั้งหมดนี้มารวมกันมันคือความมันส์ที่ลงตัวเหนือคำบรรยาย


นี่คือหนึ่งในหนังไตรภาคสุดเจ๋งของสองคู่หู โรเบิร์ต รอดริเกซ และ เควนติน ทาแรนติโน ที่สร้างผลงานมาทีไรได้ใจผมไปทุกที และกับเรื่องนี้ไม่ผิดหวังครับ เพราะมันสุดยอดพระเจ้าจอร์จเอามากๆครับ ฮ่าๆๆ
ผมยอมรับว่านี่เป็นหนังทุนต่ำแต่มีความไม่ธรรมดาแฝงเอาไว้มากมายโดยเฉพาะบทสนทนาที่ฉับไวและเสียดสีจิกกัดกันอย่างคมคายตลอดทั้งเรื่อง 


หนังเรื่องนี้ได้สุดยอดนักแสดงอย่างเฮีย George Clooney สมัยยังหนุ่มๆ มารับบท Seth Gecko โจรผู้พี่ที่มีความเป็นผู้นำอยู่เต็มเปี่ยม บทจะเยือกเย็นก็โคตรเยือกเย็น แต่เมื่อไหร่ที่อารมณ์ร้อนขึ้นมาแล้วล่ะก็...ใครก็หยุดไม่อยู่ครับ และ โจรผู้น้องนามว่า Richard Gecko ที่รับบทโดยเฮีย  Quentin Tarantino ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างและเขียนบทหนังเรื่องนี้นั่นเอง เฮียแกเล่นได้ทั้งบ้าและทั้งโรคจิตดีจริงๆ เข้าถึงบทบาทโคตรๆ เอาแค่สองนักแสดงยังแข็งปั๋งขนาดนี้แล้ว เนื้อเรื่องยังโคตรแนวที่จับเอาสองพี่น้องมหาโจรมาปะทะเข้ากับแก๊งแวมไพร์โคตรแว๊นซ์ เอากับเขาสิ!!!


เนื้อเรื่องนั้นเริ่มต้นจากสองพี่น้องมหาโจรสุดอันตรายคู่นี้กำลังหนีกฎหมายและเตรียมมุ่งสู่ชายแดนเม็กซิโก ระหว่างทางสองพี่น้องคู่นี้ก็แวะระเบิดปั๊มไปเล่นๆเพื่ออารมณ์สุนทรีย์  หลังจากนั้นสองพี่น้องก็ตระเวณไปเรื่อยๆพลางทั้งคิดหารถและหาทางข้ามชายแดนเม็กซิโกไปให้ได้ และปิ๊ง!สองพี่น้องได้พบเจอเข้ากับครอบครัวๆหนึ่งซึ่งมีกันอยู่สามคน คือ อดีตบาทหลวง Jacob ผู้หมดศรัทธาในตัวพระเจ้า (รับบทโดยนักแสดงชายยอดฝีมืออย่าง Harvey Keitel ) เด็กสาวผู้มีแววตากร้าวแกร่งนามว่า Kate (รับบทโดย Juliette Lewis) และเด็กชายที่ดูติ๋มๆนามว่า Scott (รับบทโดย Ernest Liu) ทั้งสามคนถูกสองพี่น้องมหาโจรยึดรถบ้านไปอย่างหน้าตาเฉยพร้อมทั้งถูกจับเป็นตัวประกันเพื่อเดินทางข้ามชายแดนเม็กซิกันอีกด้วย ชั่วโมงแรกของหนังเต็มไปด้วยเรื่องราวอาชญากรรมราวกับหนังฟิล์มนัวร์ก็มิปาน ทั้งบทสนทนาที่ตอบโต้กันอย่างรวดเร็ว น่าสนใจ บรรยากาศแฝงไปด้วยความจริงจังปนกับตลกร้ายอยู่ในที ตลอดชั่วโมงแรกเป็นอย่างนี้จริงๆครับ คือดูแล้วต้องเป็นหนังแนวอาชญากรรมที่น่าสนใจอีกเรื่องแน่ๆ ทว่าผมโดนหลอกครับ!!! นี่คือหนังหักมุมครับ หักกันตอนกลางเรื่องนี่เลยทีเดียว และหักกันแบบเนียนๆแต่ไม่ไว้หน้าไหนทั้งสิ้นครับ....


เมื่อทั้งห้าคนสามารถข้ามชายแดนกันได้โดยสวัสดิภาพ เรื่องก็ดูเหมือนจะจบลงตรงนี้ครับ แต่ครับ แต่!! สองพี่น้องมหาโจรดันนัดไว้ว่าจะเจอกับเพื่อนตอนเช้าที่บาร์แห่งนี้ บาร์ที่มีชื่อว่า Titty Twister (อย่าแปลนะผมขอร้อง ฮ่าๆๆ) 
ทั้งห้าได้เข้าไปในบาร์แห่งนั้นเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ชิวๆกันตามประสาคนมาเที่ยว(ฮา) ระหว่างนั้นโจรผู้น้องก็หาตีนให้ทั้งห้าอยู่พลางๆเพื่อความสุนทรีย์ แล้วในที่สุดตีนก็มาหา และพอเลือดเริ่มนองคนทั้งบาร์ก็กลายสภาพเป็นแวมไพร์!!! 


แล้วเหตุการณ์ต่อจากนั้นคือการเอาตัวรอดของคนที่ (เป็นคนอยู่จริงๆ) อยู่ในบาร์นรกปะทะกับแวมไพร์สุดแว๊นซ์ ความมันส์แบบนรกแตกจึกทะลักจุดเดือดขึ้น พาร์ทหลังนี้เปลี่ยนเนื้อเรื่องจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ หักมุมกันแบบคนดูแทบตกเก้าอี้เพราะไม่คิดว่ามันเรื่องมันจะมาแนวนี้ พาร์ทแรกมาแนวเข้มข้น พาร์ทหลังนี่เอามันส์และโหดแบบไม่ยั้ง แขนขาหลุดกันกระจุย เลือดกระฉูดกันกระจาย มหาโจรที่ว่าแน่ยังต้องหงายเงิบเมื่อเจอกับแวมไพร์โคตรนรก แต่ทว่าฝั่งคนนั้นไม่ยอมแพ้ครับ พวกเขาขอสู้ สู้จนกว่าแสงแดดแห่งวันพรุ่งนี้จะมาถึง!


ทีเด็ดมันอยู่ตรงที่พวกเขางัดเอาลูกบ้าทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเข้ามาซัดกับพวกแวมไพร์ผีดิบพวกนี้ครับ แม้ว่าฝ่ายแวมไพร์จะมีพละกำลังที่โคตรโหด ความสามารถในการแปลงตัวเป็นค้างคาวได้ แต่ว่าฝ่ายมนุษย์นั้นแม่งโคตรของโคตรบ้าครับ เอาที่เจาะถนน ปืนฉีดน้ำ ไม้ แส้ ดินสอ หรือแม้กระทั่งถุงยาง มาสู้กับเหล่าแวมไพร์!!!  


เนื้อเรื่องที่เหลือไปดูต่อกันเองนะครับทุกคน อิอิ แต่หนังเรื่องนี้ใช่ว่าจะเด่นแต่เรื่องบ้าจนตัวละครดูไร้มิติ กลับกันทุกตัวละครต่างมีมิติความเป็นคน มีวาระที่บ้า หวาดกลัว สุข เศร้า ปนกันไป อีกทั้งยังไม่ใช่กลุ่มคนที่ไร้สมอง ทำให้เกิดทั้งมุมดราม่า มุมระทึก และยังทำให้เราเอาใจช่วยตัวละครทุกคน ความสนุกแบบครบรสก็บังเกิดสิครับทีนี้ ^^


นอกจากบทจะรสดีแล้ว นักแสดงทุกคนต่างช่วยชูรสให้หนังเรื่องนี้ถึงขีดยิ่งขึ้น นักแสดงทุกคนต่างขโมยซีนกันอย่างกระจุยกระจาย ทุกคนมีคาแรกเตอร์เป็นของตัวเอง และทุกคนก็ขนความบ้าระห่ำกันอย่างมาเต็มพิกัดไม่ว่าบทจะมากจะน้อยเพียงใด แต่ที่สุดยอดและแหล่มสุดๆเลยคือคนนี้ครับ Salma Hayek สุดสวยที่รับบทราชินีแวมไพร์ Santanico Pandemonium  ซึ่งเธอแจ้งเกิดไปเต็มๆกับซีนในบาร์ครับ เป็นที่น่าจดจำมากๆสำหรับคอหนัง (ผู้ชาย เอิ๊กๆ ฮ่าๆๆ)


และแน่นอนครับดนตรีประกอบสไตล์เม็กซิกันนี่ได้ใจผมไปเต็ม บทจะเร้าอารมณ์ก็โคตรจะเร้า บทจะบ้าแบบนรกแตก ดนตรีก็บรรเลงอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน ลองไปหาฟังเพลงประกอบหนังเรื่องนี้ได้เลยนะครับ เป็นของวง "Tito & Tarantula" ชื่อเพลงว่า "After Dark" จังหวะ และท่วงทำนอง ไพเราะ พริ้วไหว ฟังแล้วกระตุ้นอารมณ์ดีนักครับ

นี่ครับผม MV นี้เลย




สรุปกันเลยนะครับ
เนื้อเรื่อง 9.5/10
นักแสดง 10/10
ดนตรีประกอบ 9/10
สรุปหนังเรื่องนี้ได้ไป 9.5/10 นะคร้าบบ สุดยอดจริงๆหนังเรื่องนี้ คอหนังห้ามพลาดครับผม







วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

รีวิว Repo Men (2010) :อวัยวะเทียม นายทุน และอนาคตที่ไม่น่าพิสมัย

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสักวันหนึ่ง อวัยวะเทียมคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน และทุกชนชั้น 
และจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณไม่สามารถผ่อนค่าอวัยวะเทียมได้!!!


นี่คือผลงานของผู้กำกับ Miguel Sapochnik ที่ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่เขาคือผู้อยู่เบื้องหลัง(ในบางตอน)ของ Series สองเรื่องที่กำลังฮิตไม่ใช่น้อยอย่าง Under the Dome และ Banshee และผลงานครั้งนี้ของเขานั้น นับว่าค่อนข้างถูกใจผมไม่ใช่น้อย แม้ว่าจะได้คะแนนจากนักวิจารณ์ในระดับกลางๆ แต่ผมก็ยอมรับว่าหนังเรื่องนี้มีหลายจุดที่ถูกใจผมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ว่าจะด้านเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับอนาคตในแบบเสื่อมโทรม เทคโนโลยีอย่างอวัยวะเทียมที่ดูเป็นไปได้และอาจจะมีทางเกิดขึ้นจริงแบบในหนังได้สักวัน ดารานักแสดงที่แต่ละคนก็ท็อปฟอร์มทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Jude Law เอย Forest Whitaker เอย  Alice Braga เอย รวมถึง Liev Schreiber ที่โผล่มาแต่ละที่ก็โดดเด่นทุกครั้ง และที่กระแทกใจผมที่สุดคือการเสียดสีสังคมได้อย่างเจ็บแสบใช้ได้ ระหว่างคนรวยกับคนจน นายทุนกับประชาชนตาดำๆ


เนื้อเรื่องว่ากันง่ายๆครับไม่ซับซ้อนมาก แต่ก็ไม่โล่งโถงจนเกินไป เรื่องเริ่มจากในอนาคตอันใกล้นี้มีบริษัทเอกชนที่โคตะ-ระใหญ่รายหนึ่งชื่อว่า "The Union" ที่ทำหน้าที่จัดจำหน่ายอะไหล่สำหรับคน หรือที่เว้ากันซื่อๆนั่นก็คืออวัยวะเทียมครับ และสาเหตุที่ทำให้  The Union เป็นบริษัทเอกชนที่ใหญ่มาก นั่นก็คือ คนในอนาคตต้องการอวัยวะเทียมเป็นจำนวนมาก เพราะต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บางคนกินเหล้าเมายาจนตับไตหายกันไปข้างนึง และอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อเผาผลาญอวัยวะตัวเองเพิ่มอีก บางคนเป็นโรคร้าย  จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้บริการจากอวัยวะเทียมของ  The Union  ทว่าอะไรๆมันก็คงไม่ง่ายดายและสบายขนาดนั้นเพราะว่าราคาค่างวดในการปลูกถ่ายอวัยวะเทียมต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่ราคาที่คนทั่วไปจะสามารถจ่ายได้ จึงต้องเกิดการผ่อน และแน่นอนว่าดอกเบี้ยนั้นก็แสนโหด ผลที่ตามมาคือคนขาดส่งค่างวด และผลสุดท้ายคนเหล่านั้นก็ต้องถูกตามทวงคืนอวัยวะแบบถึงเลือดถึงเนื้อจากเหล่าเจ้าหน้าที่ของ  The Union นามว่า  Repo Men


เนื้อเรื่องดำเนินไปตามกิจวัตรประจำวันของหนึ่งในเจ้าหน้าที่ฝีมือดีของ Repo Men นามว่า Remy (Jude Law)  เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ฝีมือฉกาจและมีชีวิตในด้านการงานที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าชีวิตคู่ของเขาเริ่มง่อนแง่นเต็มทน เพราะภรรยาของเขาอยากให้เขามีชีวิตที่มั่นคง อยากให้เขาได้อยู่กับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างที่ครอบครัวๆหนึ่งควรจะเป็น นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลับมาคิดอย่างหนัก เขายังมีความรู้สึกที่อยากจะลุยไปกับคู่หูขาลุยของเขาอย่าง Jake (Forest Whitaker)  Remy ไม่คิดว่าเขาจะสามารถไปทำงานนั่งโต๊ะอย่างใครๆได้ ไม่สามารถพูดโน้มน้าวให้ลูกค้าเลือกที่จะผ่อนอวัยวะเทียมได้ เขาไม่สามารถทำสิ่งแบบนี้ได้ แต่ในที่สุด Remy ก็ยอมตัดสินใจไม่รับข้อเสนอที่สุดแสนจะเย้ายวนจาก Frank (Liev Schreiber)  Remy ตัดสินใจที่จะทำงานน้อยลง แต่ทว่าจู่ๆก็เกิดอุบัติเหตุจากงานชิ้นล่าสุดของเขา และอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ชีวิตของ Remy ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เปลี่ยนสถานะจากผู้ล่า กลายเป็นผู้ถูกล่า...


ในด้านเนื้อเรื่องขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ ที่เหลือลองไปดูกัน สนุกครับ ถือว่าสนุกตามมาตรฐานของหนังแนวนี้เลย ดูไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไป อาจจะมีบางฉากที่ดูตามสูตรบ้าง แต่ก็มีหลายฉากเลยทีเดียวที่ครีเอทกันมาได้ดีพอสมควร (โดยเฉพาะฉากที่ล้วงของลับกันตอนท้ายเรื่อง) ในด้านตัวบทถือว่าจับเอาของดีหลายๆอย่างจากหนังหลายๆเรื่องมารวมกัน ผลที่ได้ก็คือไม่เลวครับ อาจจะมีช่วงเนือยๆไปบ้างในช่วงกลางๆเรื่อง แต่พาร์ทท้ายๆของหนัง ตัวบทก็สามารถดึงความสนใจของผู้ชมขึ้นมาได้จนถึงจุดพีคเหมือนกันครับ


ด้านตัวละครนั้น ทุกตัวละครที่มีทำตามหน้าที่ของตนเองกันได้อย่างดีครับ   Jude Law แสดงได้แบบไหลลื่นกับบทแนวนี้ ช่วงน่าสงสารก็น่าสงสารกันเต็มที่ ช่วงบู๊ก็เข้าถึงอารมณ์ แววตานี่สะท้อนความโหด นิ่ง และเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด ดูไม่ใช่แนวพระเอกจ๋าจนเกินไป เป็นพระเอกที่มีความรู้สึกนึกคิดตามหลักคนธรรมดาดีครับ

 ส่วน Forest Whitaker จอมบทบาทคนนี้ฝีมือไม่ตกครับ ทั้งแววตาท่าทางกินขาดจริงๆ กับบทที่เป็นทั้งที่รักและที่ชังในเวลาเดียวกัน อีกทั้งบทนี้ยังเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องอีกด้วย 
ต่อมากับบท Beth ของ Alice Braga ผู้หญิงคนนี้มีความสำคัญไม่น้อยกับเนื้อเรื่องเลย เพราะว่าบทนี้ไม่ใช่บทประเภทผู้หญิงวิ่งกรี๊ดกร๊าดแต่อย่างใด แต่เป็นบทของหญิงสาวที่แกร่งจากภายใน ทำให้เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าเอาใจช่วยเลยทีเดียว 

และสุดท้ายกับบทนายทุนที่ปากหวานก้นเปรี้ยวอย่าง Frank ที่ได้นักแสดงมากบทบาทอย่าง Liev Schreiber  มาแสดงเป็นนายทุนของ The Union ที่มีความกวนทีนเกินร้อย
เป็นนายทุนประเภทที่เราสามารถเจอได้จริงในปัจจุบัน คนพวกนี้นี่ร้ายกาจครับ ปากบอกทำเพื่อมนุษยธรรม ทำเพื่อความเจริญ แต่จริงๆแล้ว คนเหล่านี้มักจะต้องการกอบโกยเงินและผลประโยชน์จากประชาชนตาดำๆอยู่เสมอ โดยไม่สนศีลธรรมอันใดทั้งสิ้น ซึ่งบทนี้เฮีย Liev Schreiber แกทำได้เจ๋งจริง แววตาแบบกรุ้มกริ่ม เจ้าเล่ห์นิดๆ แต่แฝงไปด้วยความอันตรายแบบเต็มขั้น เข้าถึงบทบาทสุดๆครับ แม้จะโผล่มาน้อยแต่ได้ใจทุกครั้ง


ส่วนด้านดนตรีประกอบนั้นทำได้ดีตามมาตรฐานครับ อาจจะไม่ถึงขั้นมีทำนองติดหู แต่ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์ได้ดีครับ ช่วงดุดันก็ดุดัน ช่วงทีเล่นทีจริงดนตรีก็ดูมีลูกเล่น และแน่นอนครับฉากล้วงของลับนั้นดนตรีตรงนี้ทำหน้าที่ได้ดีมากๆเลยครับ ให้อารมณ์กึ่งอีโรติคกึ่งหลอนแบบพอดีๆ ลองไปฟังไปดูกันนะครับ 

ปล.ฉากสุดท้ายที่ชายหาด ดนตรีนี่เล่นกับอารมณ์ได้ดีมากๆเช่นเดียวกันนะครับ ดูสดใสแต่ว่าแฝงอะไรไว้หลายๆอย่างครับ

ปล.สุดท้าย นวัตกรรมใหม่ของ The Union ที่เป็นอวัยวะเทียมอันล่าสุดนั้น (ขอไม่บอกนะครับ อันนั้นตัวสปอยล์เลย) เป็นจุดที่สามารถเอาไปคิดต่อยอดทำหนังได้หลายเรื่องจริงๆครับ ซึ่งคิดว่าความสามารถของอวัยวะเทียมชิ้นนี้ต้องได้รับอิทธิพลมาจากหนังเรื่อง The Matrix อย่างแน่นอน

สรุปกันเลยดีกว่า
เนื้อเรื่อง 8/10
นักแสดง 9/10
ดนตรีประกอบ 7/10
สรุปหนังเรื่องนี้ได้ไป 7.5 คะแนน คร้าบบผม ^^


วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ต้อนรับสู่บ้านหลังใหม่ของชีวิตไร้สาระกับหนังที่ฉันชอบ (2013)

First rules of Fight Club is; you do not talk about fight club.
Second rule of Fight Club is; you DO NOT TALK ABOUT FIGHT CLUB.


ถึงแม้ว่าผมจะยกวลีเด็ดจากในหนังนี้ขึ้นมา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การรีวิวหนัง FIGHT CLUB ... แล้วทำไมผมยังไม่วิจารณ์หนังเรื่องนี้นะหรอ ยังครับ ยังไม่ใช่เวลานี้
.
.
.
นี่เป็นการย้ายเข้าสู่บ้านใหม่หลังนี้เป็นครั้งแรก หลังจากบ้านหลังที่แล้วของเราเกิดปัญหาจนผมไม่สามารถเข้าไปทำอะไรใดๆได้ จึงขอโอกาสอีกสักครั้งทำในสิ่งที่รักในบ้านหลังใหม่แต่ยังสไตล์เดิม สไตล์"ชีวิตไร้สาระกับหนังที่ฉันชอบ"ครับ

สำหรับคนที่เคยอ่านรีวิวหนังของผมมาตั้งแต่บ้านหลังที่แล้วนั้น ผมก็ขอขอบคุณอย่างมากที่ยังคงติดตามการวิจารณ์สไตล์ "อวยชมบ่นด่า" ของผมอยู่จนถึงทุกวันนี้ และสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งนี้เป็นครั้งแรกก็ขอขอบคุณอีกเช่นกันที่ลองให้โอกาสเปิดใจอ่านสิ่งที่ผมกำลังวิจารณ์อยู่



ทุกคน(อาจจะ)สงสัยว่า ทำไมผมถึงดูผูกพันธ์กับหนังเรื่อง FIGHT CLUB นี้มากนัก ทั้งสองบล๊อกวิจารณ์หนังของผมล้วนต้องมีสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ FIGHT CLUB (รวมถึง 24 ชั่วโมงวันอันตราย) อยู่ด้วยกันตลอด คำตอบของคำถามนี้เป็นคำตอบง่ายๆครับ แต่มีความสำคัญกับผมมาก นั่นก็คือ หนังและซี่รี่ย์สทั้งสองเรื่องนี้เป็นสิ่งที่จุดประกายในตัวผม ทำให้ผมมีโลกทัศน์ที่กว้างขึ้น คงไม่เป็นการกล่าวเกินความจริงหากจะบอกว่าสิ่งเล็กๆสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมค้นพบสิ่งต่างๆมากมายและที่สำคัญที่สุด คือค้นพบตัวเองครับ



จะว่าไปบทความครั้งแรก(ของบ้านหลังใหม่)นี้ก็เป็นเหมือนการแนะนำตัวของผม และเป็นการสร้างช่องว่างเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ให้ผมได้มีที่ยืนและได้อยู่กับสิ่งที่ผมรัก แม้ว่าผมยังทำได้ไม่ดีที่สุด แต่ขณะที่ผมทำสิ่งนี้แล้วผมรู้สึกว่าผมมีความสุข แค่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากพอแล้ว



สำหรับหนังชีวิตเรื่องนี้ของผมนั้น
ผมให้คะแนนดังนี้
ความสุข:คงวัดเป็นตัวเลขไม่ได้ แต่ถ้ามีสิบก็ต้องให้เต็มสิบครับ
สรุปแล้ว หนังชีวิตเรื่องนี้ของผมนั้น 10/10 แน่นอนครับ
แล้วคุณล่ะ มีความสุขในสิ่งที่ทำแล้วหรือยัง?